วิธีกระตุ้นสมรรถนะของสมอง
กล่าวโดยทั่วไป การกระตุ้นสมรรถนะของสมองมีกฎอยู่ 4 ข้อ
เพราะว่าสถานที่ทำงาน คือห้องทำงานซึ่งสมาชิกที่มีอยู่ต่างรักษาความสัมพันธ์ที่ดี คือสถานที่ดำเนินนโยบายบางอย่าง เพื่อก่อให้เกิดบรรยากาศซึ่งสามารถสำแดงจินตนาการที่ซ่อนอยู่ภายในออกมาอย่างเสรี ดังนั้นจึงต้องการกฎพื้นฐาน 4 ข้อดังนี้
1. ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์จินตนาการของผู้อื่น
2. ปล่อยให้ความคิดหลั่งพรั่งพรูออกมาอย่างเสรี (ควรเคารพความคิดเห็นซึ่งเพิ่งแสดงออกมาเป็นครั้งแรก)
3. ปริมาณมากกว่าคุณภาพ
4. พยายามคิดไตร่ครองความคิดเห็นของผู้อื่น เพื่อให้เกิดจินตนาการใหม่
โดยเฉพาะผู้มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมที่มีอายุ 20 ปีจำต้องเปี่ยมไปด้วยความยืดหยุ่น สามารถรับความคิดเห็นของผู้อื่น
นอกจากนี้แล้วผู้มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมมักจะรับความคิดเห็นของคนพูดเสียงดังได้ง่ายมาก ใครพูดเสียงดังก็เลือกใช้ความคิดเห็นของคนนั้น แต่จุดสำคัญของการกระตุ้นสมรรถนะของสมองอยู่ที่ยอมรับความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมทั้งหมด จำนวนของความคิดเห็นยิ่งมากยิ่งดี เพราะว่า ถ้าหากจำนวนของความคิดเห็นไม่มากนักก็ยากที่จะประเมินธาตุแท้ของมัน
การตีหน้าตายคือจุดสำคัญของการรับความคิดเห็น
เพื่อให้ได้รับความคิดเห็นมาก ๆ พวกเราต้องเป็นฝ่ายตีสนิทกับผู้คนที่ไม่ยอมพูด เพื่อเป็นประโยชน์การรวบรวมข่าวสารด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางการทำงานหรือเวลารับประทานอาหารหลังเลิกงาน พวกเราต่างสามารถตีหน้าตายด้วยท่าทางอันสง่าผ่าเผย
ตัวอย่างเช่น ในห้องอาหารก็ต้องทำงานรวบรวมข่าวสารอย่างเปิดเผยและลับ ๆ ผลของการรวบรวมข่าวสารขึ้นอยู่กับที่นั่งของแต่ละคน สมมุติว่าในห้องอาหารมีบุคคลหนึ่งซึ่งปกติคุณพูดคุยกับเขาน้อยมากและบังเอิญข้าง ๆ เขามีที่ว่างอยู่ ดังนั้นคุณก็นั่งข้าง ๆ เขาอย่างสง่าผ่าเผย แล้วพูดตีสนิทกับเขาว่า โอกาสที่จะได้พบคุณมีน้อยจริง ๆ อ๋อ! จริงสินะ! พวกเราไม่ได้พูดคุยกันเช่นนี้นานแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้คุณก็สามารถพูดคุยและคอยหาโอกาสถามความคิดเห็นของเขาแล้วมิใช่หรือ
กลายเป็นบุคคลสำคัญในสถานที่ทำงานด้วยศิลปะของการซักถาม
ข้อคิดที่ได้รับมาจากการทำงานที่สำคัญที่สุดของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมซึ่งมีอายุ 20 ปี คือกลายเป็นบุคคลสำคัญในที่ทำงาน เพราะว่าที่ทำงานมีข่าวสารมากที่สุด เป็นธรรมดาอยู่ที่ข่าวสารรวมอยู่ที่นี้
นอกจากนี้เช่น “ผมมีจินตนาการเช่นนี้ ไม่ทราบว่าคุณมีความคิดเห็นอย่างไร”
การถามเพื่อตีสนิทเช่นนี้ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง นั่นก็คือในบางโอกาสต้องกลายเป็นผู้มีศิลปะในการซักถาม มีการถกเถียงกันเสมอว่า นักแสดงปาฐกถาที่ดีและผู้ฟังที่ดีใครสำคัญกว่ากัน แต่ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า ตั้งแต่นี้ไปผู้มีศิลปะในการซักถามได้ก้าวเข้าสู่ความต้องการของยุคสมัยแล้ว