วิธีสู่ความสำเร็จในชีวิต

การทำงานต่างคนต่างความคิด ต่างจิตใจ ไม่มีอะไรเหมือนกัน จะเหมือนก็ตรงที่เราต่างคนก็ต้องทำงาน การทำงานที่ดีเราต้องมีหลักการในการบริหารบุคลากร กว่าแต่ละคนจะเติบโตเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ต่างก็ผ่านเหตุการณ์อันเป็นปัญหามากบ้างน้อยบ้างแทบทั้งสิ้น ถึงอย่างไรเขาเหล่านั้นที่สามารถฝ่ามรสุมมาได้เพราะการยึดหลัก ความสำเร็จ เป็นแนวทางในการทำงาน เพื่อไต่เต้าสู่ความเป็นสุดยอดคน จนใครๆ ต่างก็กล่าวยอมรับว่านี่แหละคือคนที่ประสบความสำเร็จ

วิธีกระตุ้นสมรรถนะของสมอง

กล่าวโดยทั่วไป การกระตุ้นสมรรถนะของสมองมีกฎอยู่ 4 ข้อ

เพราะว่าสถานที่ทำงาน คือห้องทำงานซึ่งสมาชิกที่มีอยู่ต่างรักษาความสัมพันธ์ที่ดี คือสถานที่ดำเนินนโยบายบางอย่าง เพื่อก่อให้เกิดบรรยากาศซึ่งสามารถสำแดงจินตนาการที่ซ่อนอยู่ภายในออกมาอย่างเสรี ดังนั้นจึงต้องการกฎพื้นฐาน 4 ข้อดังนี้

1. ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์จินตนาการของผู้อื่น

2. ปล่อยให้ความคิดหลั่งพรั่งพรูออกมาอย่างเสรี (ควรเคารพความคิดเห็นซึ่งเพิ่งแสดงออกมาเป็นครั้งแรก)

3. ปริมาณมากกว่าคุณภาพ

4. พยายามคิดไตร่ครองความคิดเห็นของผู้อื่น เพื่อให้เกิดจินตนาการใหม่

โดยเฉพาะผู้มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมที่มีอายุ 20 ปีจำต้องเปี่ยมไปด้วยความยืดหยุ่น สามารถรับความคิดเห็นของผู้อื่น

นอกจากนี้แล้วผู้มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมมักจะรับความคิดเห็นของคนพูดเสียงดังได้ง่ายมาก ใครพูดเสียงดังก็เลือกใช้ความคิดเห็นของคนนั้น แต่จุดสำคัญของการกระตุ้นสมรรถนะของสมองอยู่ที่ยอมรับความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมทั้งหมด จำนวนของความคิดเห็นยิ่งมากยิ่งดี เพราะว่า ถ้าหากจำนวนของความคิดเห็นไม่มากนักก็ยากที่จะประเมินธาตุแท้ของมัน

การตีหน้าตายคือจุดสำคัญของการรับความคิดเห็น

เพื่อให้ได้รับความคิดเห็นมาก ๆ พวกเราต้องเป็นฝ่ายตีสนิทกับผู้คนที่ไม่ยอมพูด เพื่อเป็นประโยชน์การรวบรวมข่าวสารด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางการทำงานหรือเวลารับประทานอาหารหลังเลิกงาน พวกเราต่างสามารถตีหน้าตายด้วยท่าทางอันสง่าผ่าเผย

ตัวอย่างเช่น ในห้องอาหารก็ต้องทำงานรวบรวมข่าวสารอย่างเปิดเผยและลับ ๆ ผลของการรวบรวมข่าวสารขึ้นอยู่กับที่นั่งของแต่ละคน สมมุติว่าในห้องอาหารมีบุคคลหนึ่งซึ่งปกติคุณพูดคุยกับเขาน้อยมากและบังเอิญข้าง ๆ เขามีที่ว่างอยู่ ดังนั้นคุณก็นั่งข้าง ๆ เขาอย่างสง่าผ่าเผย แล้วพูดตีสนิทกับเขาว่า โอกาสที่จะได้พบคุณมีน้อยจริง ๆ อ๋อ! จริงสินะ! พวกเราไม่ได้พูดคุยกันเช่นนี้นานแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้คุณก็สามารถพูดคุยและคอยหาโอกาสถามความคิดเห็นของเขาแล้วมิใช่หรือ

กลายเป็นบุคคลสำคัญในสถานที่ทำงานด้วยศิลปะของการซักถาม

ข้อคิดที่ได้รับมาจากการทำงานที่สำคัญที่สุดของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมซึ่งมีอายุ 20 ปี คือกลายเป็นบุคคลสำคัญในที่ทำงาน เพราะว่าที่ทำงานมีข่าวสารมากที่สุด เป็นธรรมดาอยู่ที่ข่าวสารรวมอยู่ที่นี้

นอกจากนี้เช่น “ผมมีจินตนาการเช่นนี้ ไม่ทราบว่าคุณมีความคิดเห็นอย่างไร”

การถามเพื่อตีสนิทเช่นนี้ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง นั่นก็คือในบางโอกาสต้องกลายเป็นผู้มีศิลปะในการซักถาม มีการถกเถียงกันเสมอว่า นักแสดงปาฐกถาที่ดีและผู้ฟังที่ดีใครสำคัญกว่ากัน แต่ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า ตั้งแต่นี้ไปผู้มีศิลปะในการซักถามได้ก้าวเข้าสู่ความต้องการของยุคสมัยแล้ว

การจัดเก็บเอกสารให้เป็นระเบียบ

“คุณ C ขอข้อมูลของเรื่อง ... ให้ผมดูหน่อยสิ!

“ประทานโทษครับ ผมไม่สามารถค้นหาได้ทันที เดี๋ยวผมจะค้นหาให้ครับ”

“คุณทำอย่างไรของคุณน่ะ!

คุณเคยมีประสบการณ์ในการพูดเช่นนี้หรือไม่? คนเช่นนี้ บนโต๊ะทำงานของเขาอาจมีเอกสารกองเป็นภูเขาเลากา

เมื่องานยุ่งก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความเผอเรอในการจัดเก็บเอกสารบนโต๊ะให้เรียบร้อย ในใจคิดว่า “รอให้ว่างก่อนจึงจัดเก็บให้เรียบร้อย” 2-3 วันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว คิดไม่ถึงเลยว่าข้อมูลและเอกสารจะกองเต็มโต๊ะ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังต้องสิ้นเปลือนเวลาอีกด้วย

เพื่อขจัดการสิ้นเปลืองเวลา ต้องหาเวลาจัดเก็บเอกสารเป็นดีที่สุด เอกสารและข้อมูลที่ต้องรักษาไว้ก็แยกจัดเป็นประเภท ๆ สิ่งที่ไม่ต้องการก็โยนทิ้งไปยิ่งเร็วยิ่งดี

โปรดอย่าลืมว่า โต๊ะทำงานของใครยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ผู้นั้นก็ทำงานอย่างสับสนปนเปกัน

เปลี่ยนเวลาที่สิ้นเปลืองให้เป็นเวลาที่มีประโยชน์

ขจัดการสิ้นเปลือง

การทำงานต้องดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่บางครั้งเพราะสาเหตุต่างๆ กลายเป็นไม่ต้องพูดถึงประสิทธิภาพแม้แต่น้อย นั้นคือการทำงานซึ่งไม่มีประสิทธิภาพของแต่ละคนสะสมขึ้น จนกลายเป็นองค์กรที่ไม่มีประสิทธิภาพและเป็นสิ่งที่ทำให้การงานไร้ประสิทธิภาพ สิ้นเปลืองไม่สม่ำเสมอ ฝืนใจ

แต่ขอให้เรียนรู้ข้อคิดที่ได้ประสบมาจากการทำงาน ก็สามารถขจัดการสิ้นเปลืองได้ แต่กล่าวโดยสภาพทั่วๆไป แต่ละคนต่างไม่มีจิตสำนึกของการสิ้นเปลืองมากเท่าไร รู้ว่าเป็นเช่นนี้ แต่กลับทำได้ไม่ง่าย

เพื่อขจัดความสิ้นเปลืองเวลา ข้อคิดที่ได้ประสบมาจากการทำงานและสำคัญที่สุดคือ รู้สึกตัวว่าตนเองได้กลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์แล้วสังเกตการกระทำของตนเองโดยทรรศนะของภววิสัย ทำงานให้ดีที่สุดเสมอและต้องพยายามค้นหาส่วนที่ไร้ประสิทธิภาพคิดหาวิธีการทำงานให้ดีที่สุดเป็นประจำ

โดยเฉพาะผู้นำที่มีอายุ 20 ปี ถ้าหากไม่รู้วิธีดังกล่าวข้างต้นก็จะทำให้ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานในหน่วยงานของตนเองเดือดร้อนและทำให้องค์กรเกิดความสูญเสีย

การทำงานคือด้านหนึ่งของการสร้างสรรค์ ส่วนอีกด้านหนึ่งจะต้องค้นหาวิธีทำของตนเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทำตามวิธีซึ่งตนเองคิดอย่างจะทำก็ใช้ได้แล้ว คุณจำต้องมีจิตสำนึกของการแสดงบทบาทสำคัญในองค์กร และที่สำคัญทึ่สุดก็คือต้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นนี้จึงสามารถขจัดการสิ้นเปลืองเวลา

ไม่สม่ำเสมอ ฝืนใจ ต่างทำให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ

การทำงานอย่างไม่สม่ำเสมอ มีผลทางด้านลบต่อการทำงานที่เรียกกว่าการทำงานอย่างไม่สม่ำเสมอ คือทำงานที่เหมือนกันแต่ทำตามอารมณ์ที่ไม่เหมือนกันของวันนั้น วิธีทำก็ไม่เหมือนกันหรือขั้นตอนช้าลง จะอย่างไรก็ตามมีความเกี่ยวพันกับจิตใจอย่างมาก

ในเมื่อพวกเราต่างก็คือมนุษย์ ที่จริงไม่มีทางที่จะทำงานในสภาพการณ์ของความปลอดภัยโดยสิ้นเชิงตลอดเวลา แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเราต่างต้องมีจิตใจมุ่งมั่นในการทำงาน

จะมีความยากลำบากอย่างยิ่ง ถ้าหากทำงานร่วมกันกับคนทำงานไม่สม่ำเสมอ เพราะว่าการทำงานอย่างไม่สม่ำเสมอจะพลอยทำให้เพื่อนร่วมงานเดือดร้อนไปด้วยตัวอย่างเช่น วันนี้เขาอารมณ์ไม่ดี หรือขี้เกียจทำงานเขาก็ลาหยุดไม่มาทำงาน เช่นนี้งานก็จะหยุดชะงักและทำไม่เสร็จตามกำหนด

นอกจากนี้การฝืนใจทำงานก็ทำให้การทำงานขาดประสิทธิภาพ คุณต้องทำงานด้วยความฮึกเหิม ต้องทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียรจึงจะเกิดประโยชน์ต่อตนเองและองค์กร

วิธีขจัดการสิ้นเปลืองเวลาการทำงานไม่สม่ำเสมอและการฝืนใจทำงาน

หากคุณต้องการจะขจัดการสิ้นเปลืองเวลา การทำงานไม่สม่ำเสมอและการฝืนใจทำงาน คุณจำต้องดูตามหัวข้อข้างล่างนี้

1. มีการยึดกุมเป้าหมายของการทำงานหรือไม่

ผู้บังคับบัญชาบางคนไม่ยอมพูดถึงเป้าหมายของการทำงานอย่างเด่นชัด เมื่อพบกับเหตุการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องถามผู้บังคับบัญชาให้เข้าใจ อย่างชัดเจนว่าเป้าหมายของการทำงานคืออะไรมิเช่นนั้น การทำงานก็จะสุกเอาเผากิน ไม่มีความรับผิดชอบ

2. มีการวางแผนการดำเนินการหรือไม่

การทำงานต้องมีการวางแผน ต้องดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพถ้าหากว่าทำอย่างลวก ๆ พอถูไถก็ถูไถไปก่อน ผลงานต้องไม่ดีเป็นแน่หรืออาจทำให้การงานเกิดความเสียหาย

3. ใช้ฝีมือให้มาก

การทำงานตามมาตรฐานของแบบเรียน ก็นับไม่ได้ว่าคือศิลปะของการทำงาน ผู้นำจำต้องใช้ฝีมือให้มากเพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคล้อยตาม

4. บริหารเวลาได้ดีหรือไม่

กำหนดตารางเวลาของการทำงานให้เสร็จเร็วกว่าระยะเวลาของเป้าหมายที่ตั้งไว้เสมอ

5. ต้องมีการรายงานระหว่างกลาง

ทำงานถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ก็มักจะเกิด “ถ้าหากว่าคุณบอกผมเร็วกว่านี้ ผมต้องให้คุณ...” เรื่องราวเช่นนี้เสมอ เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีการรายงานระหว่างกลาง

เข้าใจประโยชน์และข้อเสียของคู่มือทำงาน

แล้วใช้คู่มือทำงานสำแดงความสามารถซึ่งซ่อนอยู่ภายในออกมาอย่างเต็มที่

ใครๆ ก็ยอมรับว่ามีคู่มือทำงานสะดวกมาก ที่จริงก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าในประเภทหรืออาชีพใด หากไม่มีคู่มือทำงานจะแนะนำผู้ไต้บังคับบัญชาได้ยากมาก ดังนั้นการเข้าใจประโยชน์ของคู่มือทำงานจึงยากที่จะประเมินค่า

เพราะว่าในคู่มือทำงานได้อธิบายจุดสำคัญของการทำงานเอาไว้ อย่างละเอียดและเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้น ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมจึงสามารถอบรมเนื้อหาสาระของธุรกิจได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว โดยเฉพาะธุรกิจการผลิต ธุรกิจการขายปลีกและพนักงานที่ทำงานควบหลายตำแหน่ง หรือธุรกิจซึ่งมีพนักงานมากยิ่งต้องการมัน

แต่ทว่าอีกด้านหนึ่งคู่มือทำงานก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้าพเจ้าได้ยินเรื่อง ๆ หนึ่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นในร้านขายอาหารและเครื่องดื่มประเภทบริการตัวเองมีลูกค้าคนหนึ่งเดินเขามาในร้านพลางกล่าวว่า ผมขอไก่ทอด 30 ชิ้น พนักงานคนหนึ่งถามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “จะทานที่นี่ หรือนำกลับบ้าน” ถ้าหากว่าทำตามคู่มือทำงาน การถามเช่นนี้ไม่ผิดแม้แต่น้อย แต่ลูกค้าไม่คิดเช่นนั้น เขากล่าวด้วยความตกใจว่า อะไรกัน ไก่ทอด 30 ชิ้น ทานคนเดียวหมดหรือ?

นอกจากนี่ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านขายอาหารและเครื่องดื่มประเภทบริการตัวเองเช่นเดียวกันขณะนั้นบังเอิญที่นั่งเต็มหมด แม้แต่ที่ยืนก็เต็ม ลูกค้าคนหนึ่งยื่นมือไปรับอาหารจากพนักงานคนหนึ่ง ขณะรับอาหารอยู่นั้นเขาได้ยินฝ่ายตรงข้ามพูดว่า “ค่อย ๆ หาความสุขนะคะ” ผลที่สุดลูกค้าตอบอย่างหมดสนุกว่า “แม้แต่ที่ยืนก็ไม่มีจะสามารถค่อยๆ หาความสุขได้อย่างไร ?

ขณะนี้คู่มือทำงานมีปัญหาหรือว่าพนักงานหญิงคนนั้นมีปัญหาหรือว่าปัญหาอยู่ที่รูปแบบของการอบรมของผู้รับผิดชอบและควบคุม

แต่ว่าอันที่จริงสำหรับเรื่องราวที่ต้องยกเว้นคู่มือทำงานจนเกิดปัญหาจริง ๆ สำหรับพนักงานหญิงคนนั้น เธอบอกว่าฉันปฎิบัติตามคู่มือทำงานผิดตรงไหนหรือ ? หวนกลับมาพูดถึงเจตนาของผู้รับผิดชอบและควบคุม เขาอาจด่าพนักงานหญิงคนนั้นว่า แม้แต่ความรู้ทั่วไปในจุดนี้ก็ไม่มี

เพราะฉะนั้น ผู้คนที่ยืนอยูในเจตนาของผู้รับผิดชอบและควบคุมเพียงแต่สอนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฎิบัติตามคู่มือทำงาน ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกตำหนิว่า คล้ายกับลืมเรื่องสำคัญอะไรบางอย่าง

บอกให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจว่า ทำไมยังต้องมีคู่มือทำงาน

เพื่อใช้คู่มือทำงานอย่างได้ผล ผู้รับผิดชอบและควบคุมจำเป็นต้องเริ่มจากการสอนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจว่า “เพราะอะไรจึงต้องการคู่มือทำงาน” มิเช่นนี้ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการเพาะเลี้ยงผู้ใต้บังคับบัญชาที่เพียงแต่สามารถทำงานตามคู่มือทำงาน นี่คือสิ่งซึ่งไม่มีความยุติธรรมกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างยิ่ง

มนุษย์คือสัตว์ที่รู้จักคิด และคือสัตว์ที่รู้จักสร้างสรรค์ ถ้าหากผู้รับผิดชอบและควบคุมลืมจุดนี้ รู้แต่ผลิตคู่มือทำงานให้กับฝ่ายตรงข้าม ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการสร้างผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งไม่รู้จักแม้แต่ชี้ขาดสภาพการณ์

พวกเราต้องสำนึกให้ดีว่าเพราะอะไรพวกเราจึงต้องใช้คู่มือทำงานและต้องใช้คู่มือทำงานอย่างมีความยืดหยุ่น พื่อให้คู่มือทำงานเหมาะสมกับนิสัยของมนุษย์ยิ่งขึ้น นี่คือหนึ่งในงานสำคัญของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบและควบคุมเปลี่ยนเวลาที่สิ้นเปลืองให้เป็นเวลาที่มีประโยชน์

ต้องเดินเข้าสู่การรวบรวมข่าวสารของการสร้างองค์ประกอบ

ขอยกพฤติการณ์การไล่ตามปัญหาของคุณ K เป็นตัวอย่างต่อไป

คุณ K คิดว่าเขาต้องตรวจสมองดูว่า หน้าที่จริงในร้านของเขาเมื่อเปรียบเทียบกับประเภทอย่างไรจึงเป็นร้านค้า ซึ่งพนักงานทำงานด้วยความสนุกสนาน แล้วนำเอาข้อมูลเหล่านี่มาทำการค้นคว้า เกี่ยวกับจุดนี้ คุณ K คิดว่าหากเขามัวแต่เฝ้ารออยู่ในร้านจะไม่มีทางรวบรวมข่าวสารเป็นแน่เพราะฉะนั้นเขาจึงตกลงใจจะใช้วันหยุดทำงานชิ้นนี้

อันดับแรก คุณ K ไปที่สวนสนุกแห่งหนึ่ง ที่นี่มีพนักงานนับร้อยกำลังทำงาน พวกเขาทำงานด้วยความคล่องแคล่วว่องไวหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส พูดอีกทีในสวนสนุกแห่งงนี้มีเครื่องแบบของพนักงานมากมาย นี่เป็นการแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าเขาได้แบ่งหน้าที่การงานกันอย่างชัดแจ้งการทำงานอย่างซ้ำซากเช่นนี้จะกลายเป็นลักษณะเครื่องจักรได้ง่ายที่สุด แต่เพราะอะไรพวกเขายังสามารถทำงานด้วยความคล่องแคล่วว่องไว และหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส คุณ K คิดในใจว่า ที่นี้มีอะไรแตกต่างกับสถานที่ทำงานของตนเอง

หลังจากเดินสังเกตมาหนี่งวัน คุณ K พบว่า

1. พนักงานในสวนสนุกต่างมีจิตสำนึกร่วมกันคือ ต้องการให้ลูกค้าได้รับความสนุกให้มากที่สุด

2. พนักงานขายความสนุก มีความสามารถในการพูดจูงใจ

3. จิตใจมีความรับผิดชอบในการทำงานในสถานที่ซึ่งผู้คนทั่วทั้งประเทศให้ความสนใจ

คุณ K รู้สึกว่า ตัวบริษัทเองก็มีมโนธรรมดึงดูดเหล่าพนักงาน ขณะนี่คุณ K จึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า เพียงแต่เชิญพวกเขามาทำงานยังไม่พอ

คุณ K รวบรวมข่าวสารเพียงวันเดียว ก็มีเรื่องราวควรค่าแก่การค้นคว้ามากมาย ขณะนี้ คุณ K จึงเข้าใจว่า การปิดตัวเองไว้ในสถานที่ทำงานเป็นความคิดตริตรองที่จำกัดเกินไป


แสวงหาความคิดวางเค้าโครงนอกสถานที่ทำงาน

เปลี่ยนทรรศนะก็สามารถมองออกว่าจุดปัญหาอยู่ตรงไหน

คุณ K คือผู้จัดการร้านอาหารประเภทบริการตัวเอง เขามีเรื่องในใจที่ทับถมกันเรื่องแล้วเรื่องเล่า แน่นอนหนึ่งในเรื่องที่เขากลัดกลุ้มก็คือขายไม่ได้ นอกจากนี้เขายังเบื่อหน่ายการควบคุมดูแลเหล่าพนักงาน ทั้งนี้เป็นเพราะว่ากว่าจะรับพนักงานเข้ามาทำงานได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พนักงานทำได้ไม่กี่วันก็ลาออก มิเพียงเช่นนี้ ผู้ซึ่งมาสมัครงานก็น้อยลงทุก ๆ ปี เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงการปรับปรุงการบริการแล้ว

ทุก ๆ เดือนที่เขาเข้าประชุมผู้จัดการร้าน เขาจำต้องอ้างว่าของขายไม่ดี ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง หลังจากประชุมเสร็แล้ว เขาได้พูดคุยกับผู้จัดการร้านคนอื่น ๆ ทำให้เขารู้ว่าผู้จัดการคนอื่น ๆ ก็มีความกลัดกลุ้มเหมือนกันกับเขา ที่แท้ความรู้สึกว่า “เป็นเช่นนี้ต่อไปจะทำอย่างไร ?” คือปัญหาร่วมกันของพวกเรา

คุณ K ได้ไปปรึกษาหารือกับผู้บังคับบัญชาของเขา ผู้บังคับบัญชากล่าวกับเขาว่าที่จริงเรื่องที่คุณพูดก็กำลังเป็นปัญหาสำคัญของบริษัทใหญ่ ก่อนนี้ การรับสมัครพนักงานทางบริษัทใหญ่ได้มอบให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดการร้าน แต่เหตุการณ์ร้ายแรงถึงขั้นนี้ผมกำลังคิดหาวิธีการและแผนการบางอย่างเพื่อรับมือ ....

ก่อนที่คุณ K จะคิดถึงวิธีการและแผนการเพื่อรับมือกับเหตุการณ์เกิดขึ้นทั่งทั้งบริษัท เขาได้คิดตริตรองถึงวิธีการและแผนการเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นภายในร้านที่ตนเองรับผิดชอบก่อน คุณ K กล่าวถึงวิธีการและแผนการในการขยายสาขาทั่วประเทศของบริษัทใหญ่อย่างมากก็คือการโฆษณาทางโทรทัศน์ หรือลงโฆษณาทางหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะฉะนั้นเขาจึงคิดจะเริ่มต้นรวบรวมข่าวสารเสียใหม่ และคิดตริตรองว่าเพราะอะไรจึงไม่มีใครมาสมัครงาน

คุณ K ได้ถามพนักงานคนหนึ่งซึ่งอยู่ทำงานกับเขาได้สามปีแล้ว จากการพูดคุยเขาค้นพบสิ่งซึ่งเมื่อก่อนยังไม่เคยค้นพบมาก่อนดังนี้

1. พนักงานถือว่าแม่บ้านเป็นใหญ่ เมื่อแม่บ้านเหล่านี้กลับถึงบ้านก็สามารถติดต่อกับเครือข่ายข่าวกรองของถิ่นนี้

2. ท่ามกลางการพูดคุยระหว่างพนักงานด้วยกัน มักจะนำตนเองไปเปรียบเทียบกับการทำงานของคนอื่น ๆ

3. ขณะที่เขาทำงานในสถานที่แห่งนั้นด้วยความสนใจ เขาก็จะนำคนที่ตนเองคุ้นเคยเข้ามาทำงานด้วย

4. เมื่อได้ยินผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ร้านซึ่งตนเองทำงานอยู่ไปในทางที่ไม่ดี ความฮึกเหิมในการทำงานจะเสื่อมถอยโดยเร็ว

5. เมื่อพนักงานลาออกจากร้านนั้นไปแล้ว เขาจะมอบสิ่งต่าง ๆ ในร้านด้วยสายตาของลูกค้า

จุดทรรศนะซึ่งคุณ K ค้นพบไม่ได้อยู่ที่ “เพราะอะไรจึงไม่มีใครมาสมัครงาน” แต่อยู่ที่ “อะไรคือสิ่งที่ทำให้พนักงานรู้สึกถึงเสน่ห์ของสถานที่ทำงาน” นี่คือสิ่งซึ่ง คุณ K ค้นพบใหม่

หากจะเปลี่ยนทรรศนะในที่นี้ ก็จะต้องขุดเอาวิธีซึ่งเมื่อก่อนคิดไม่ออกเอาออกมา นี่คือปัญหาสำคัญ และสิ่งสำคัญที่สุดคือผู้รับผิดชอบและควบคุมดูแลต้องเปลี่ยนสาระสำคัญจาก “เพราะอะไรจึงไม่มีใครมาสมัครงาน” มาเป็น “สร้างสถานที่ทำงานให้มีเสน่ห์”


1. ไม่มีผู้มาสมัครงาน

2. วิธีรับผิดพลาด

3. เงินเดือนต่ำ

4. โฆษณาไม่เพียงพอ

5. อะไรก็ไม่มีซึ่งเป็นวัฎจักรที่เลวร้าย

6. เปลี่ยนทรรศนะ

7. กล่าวสำหรับพนักงานอะไรคือสถานที่ทำงานที่มีเสน่ห์

8. ลู่ทางของมนุษยสัมพันธ์

9. ร้านที่มีชื่อเสียงดี

10. ลักษณะที่แน่นอน

11. พนักงานก็จะนำเพื่อน ๆ ของเขามา

12. ประชาชนพากันชมเปาะ

13. ร้านที่เพื่อนก็คิดอย่ากจะมาทำงาน

14. สร้างสถานที่ทำงานดีขึ้นจะนำมาซึ่งวัฎจักรที่ดี

เทคนิคการทำงานของผู้บริหารไม่จำเป็นต้องปวดสมองกับงานรวบรวมข่าวสารที่ไร้สาระ

เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาก็ได้มีการพรรณนาว่าขณะนี้คือสังคมข่าวสารพวกเราได้ยินเสมอว่า ผู้คนซึ่งสามารถควบคุมข่าวสารเท่านั้นจึงสามารถดำรงอยู่ในสังคมวิสาหกิจต่อไป

พวกเรายอมรับว่า ข่าวสารในโลกนี้มีมากเกินไป พวกเรามีชีวิตอยู่ท่ามกลางข่าวสาร กล่าวกันว่าถ้าหากมันหยุดเสนอกลางคัน ก็จะเกิดความไม่สบายใจ

นี่คือความไม่สบายใจชนิดหนี่ง ตนเองยอมรับว่าหากวันไหนไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์หรือดูโทรทัศน์ ก็กลัวว่าตนเองจะล้าหลังคนอื่น ๆ ในบริษัทและไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ แต่ทว่าพวกเราอยู่ท่ามกลางข่าวสารที่มากเกินไปเช่นนี้ หากคิดจะรับเอาข่าวสารทั้งหมดเข้ามา ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายมิใช่หรือ

ขณะนี้พวกเราต้องมีเป้าหมายของการรวบรวมข่าวสาร โดยถือเอาข่าวสารซี่งมีความจำเป็นต่อการทำงานของตนเองเป็นเป้าหมาย

อย่าสืมข่าวสารซึ่งแน่นอนที่สุด

อะไรคือข่าวสารที่แน่นอนที่สุดของผู้บริหารหรือ?

ข้าพเจ้าเคยถามคำถามข้างล่างนี้กับผู้มีหน้าที่รับผิดขอบและควบคุม แต่ผู้ซึ่งสามารถตอบคำถามมีน้อยมากอย่างคาดไม่ถึง

เมื่อต้นปีเนื้อหาสาระในการกล่าวคำปราศรัยของท่านประธานคืออะไร?

1. อะไรคือศรัทธาในการดำเนินกิจการของบริษัท?

2. อะไรคือนโยบายสำคัญของปีนี้?

ขณะที่ข้าพเจ้าถามคำถามประเภทนี่ บางคนรีบเปิดกระเป๋าถือหรือสมุดบันทึกหยิบเอาสิ่งพิมพ์ออกมาอ่านดัง ๆ คนเช่นนี้ยังนับว่าใช้ได้ บังเอิญมาบางคนตอบว่าที่จริงบริษัทของพวกเราไม่มีสิ่งนั้น ในที่สุดก็พบว่าในวารสารภายในได้ตีพิมพ์ความมุ่งมาดปรารถนาในปีนี้ของประธานบริษัท

ข่าวสารที่แน่นอนที่สุดก็คือ เรื่องราวซึ่งคนในบริษัทนั้นจะไม่รู้ไม่ได้โดยเด็ดขาด นับประสาอะไรกับผู้บริหารซึ่งเป็นแกนนำของบริษัท พวกเขาจำต้องเข้าใจคำถามข้างต้นเป็นอย่างดี เพราะนี่คือข่าวสารที่แน่นอนที่สุดและมีค่าที่สุดสำหรับการทำงานของผู้บริหาร

แต่บางครั้ง ผู้บังคับบัญชาของผู้รับผิดชอบและควบคุมงานก็ลืมจุดนี้ ทางบริษัทกำหนดนโยบายออกมาว่า ตัดหน่วยงานที่ไม่คุ้มทุนออกแล้วไปลงทุนในธุรกิจอื่นผู้บังคับบัญชาของผู้รับผิดชอบและควบคุมคือผู้จัดการเดี๋ยวนี้ได้เป็นผู้รับผิดชอบงานบริษัทใหญ่ ซึ่งสามารถบุกเบิกที่ดินเพื่อสร้างบ้านขายหาผลกำไร การบุกเบิกที่ดินจำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ก่อนที่จะเกิดผลประโยชน์ทุนที่ลงในกิจการจะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต่อมาบริษัทใหญ่อื่น ๆ ก็มาบุกบิกที่ดินรอบ ๆ ผลที่สุดทำเลซึ่งการคมนาคมไม่สะดวกก็จะขายไม่ออก

เพราะว่าเป็นข้อเสนอของผู้จัดการเองและเขาก็เป็นคนลงมือทำตามแผนการของตนเองอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้จึงมีความเกี่ยวพันกับศักดิ์ศรี เพื่อให้แผนการดำรงอยู่ต่อไป ดังนั้นเขาจึงมีคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเชาคือคุณ C ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกเสนอหนังสือรายงานในทำนองที่คิดว่ายังมีหวัง แต่ว่าหลังจากคุณ C ได้วิเคราะห์สภาพปัจจุบันด้วยความเยือกเย็นแล้ว มีความเห็นว่าควรจะถอยออกมาไม่เป็นคนพาล การเป็นปฎิปักษ์ต่อกันของพวกเขาจึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาในบริษัท

ในที่สุดความคิดเห็นของคุณ C ซึ่งมุ่งไปยังนโยบายของบริษัทก็ได้รับการยอมรับจากผู้บริหาร แต่สิ่งที่ได้รับความสนใจมากทีสุดคือความกล้าหาญของคุณ C ?

เมื่อพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ สิ่งที่พวกเราต้องการที่สุดคือข่าวสาร ซึ่งแน่นอนที่สุดดังกล่าวข้างต้นแล้วว่า พากเราต้องรู้ในสิ่งซึ่งผู้รับผิดชอบและควบคุมควรรู้ อย่าปล่อยให้ข่าวสาร ศรัทธา และนโยบายนอนหลับอยู่ในลิ้นชักเพราะไม่สามารถสำแดงประสิทธิผลได้เป็นอันขาด

Designer Webdesigner